​นิสท์จัดงานต้อนรับสามเจ้าของรางวัลโนเบล ส่วนหนึ่งของโครงการ “การสนทนาเพื่อนำสู่วัฒนธรรมแห่งสันติภาพ”

ในช่วงปลายเดือนมกราคมและต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีพ.ศ. 2558 นี้ ทางโรงเรียนนานาชาตินิสท์จะได้ต้อนรับนักวิชาการชื่อดังสามท่าน ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาต่าง ๆ การมาเยือนโรงเรียนฯในโอกาสนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในโครงการ Bridges – Dialogues Towards a Culture of Peace (การสนทนาเพื่อนำสู่วัฒนธรรมแห่งสันติภาพ) ซึ่งสนับสนุนโดยมูลนิธิสันติภาพสากล (International Peace Foundation) โครงการฯ นี้มุ่งสนับสนุนโครงการและสถาบันที่ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันและกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง รวมถึงการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสันติภาพ ความเข้าใจและการแลกเปลี่ยนทางสังคม วัฒนธรรมและประเพณีระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาตินิสท์เป็นพันธมิตรกับมูลนิธิสันติภาพสากลมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยในอดีตโรงเรียนฯได้เคยต้อนรับบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายท่าน อาทิ โอลิเวอร์ สโตน ผู้กำกับภาพยนคร์ชื่อดัง สาธุคุณเจสซี่ แจ็คสัน นักเทศน์และนักสิทธิมนุษยชนชื่อดังแห่งสหรัฐฯ และแจ็คกี้ ชาน (เฉินหลง) นักแสดงชื่อดังชาวฮ่องกง

โรงเรียนนานาชาตินิสท์ เป็นโรงเรียนหลักสูตรไอบีอันดับต้นๆ ซึ่งสอนเน้นเรื่องการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม การเรียนรู้เพื่อช่วยเหลือสังคม และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โครงการBridges – Dialogues Towards a Culture of Peace (การสนทนาเพื่อนำสู่วัฒนธรรมแห่งสันติภาพ) ซึ่งมีนักวิชาการชื่อดังเหล่านี้มาเยือนโรงเรียนฯ เป็นโครงการที่มีจุดมุ่งหมายในแนวทางเดียวกับวิสัยทัศน์ พันธกิจและค่านิยมของโรงเรียนฯ นักเรียนที่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมนี้จะได้รับแนวคิดในการนำหลักการจากสาขาวิชาต่าง ๆ มาประยุกต์ปรับเปลี่ยนให้มีอิทธิพลในทางบวกกับธรรมชาติของมนุษย์ นักวิชาการที่จะมาเยือนโรงเรียนฯแต่ละท่าน ล้วนมีประสบการณ์ที่โดดเด่นและความเชี่ยวชาญในสาขาที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นโอกาสในการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้เป็นอย่างดี

“วิทยาศาสตร์ สะพานอันเป็นสากลที่เชื่อมมนุษยชาติ” โดยศาสตราจารย์ไบรอัน ชมิดท์

ในวันจันทร์ที่ 19 มกราคม ศาสตราจารย์ไบรอัน ชมิดท์ เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ในปีพ.ศ. 2554 จะพูดคุยกับนักเรียนนิสท์ในหัวข้อเรื่อง “วิทยาศาสตร์ สะพานอันเป็นสากลที่เชื่อมมนุษยชาติ” ศาสตราจารย์ชมิดท์ เป็นหนึ่งในนักวิจัยของสถาบันวิจัยด้านดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ได้ทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆในการค้นพบการขยายตัวอย่างรวดเร็วของระบบจักรวาล(accelerating universe) ในปีพ.ศ. 2541 ซึ่งการใช้มหานวดารา (supernova) เป็นเครื่องมือทดสอบทางจักรวาลวิทยาในการแสดงผลการค้นพบนี้ส่งผลให้ท่านได้รับรางวัลโนเบล

ในการบรรยายครั้งนี้ ศาสตราจารย์ชมิดท์จะกล่าวถึงบทบาทที่วิทยาศาสตร์ในยุคต่างๆได้ส่งผลต่อสังคมยุคปัจจุบัน และทบทวนข้อดีและข้อเสียของความรู้ทางวิทยาศาสตร์เหล่านั้น แม้ปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์จะมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์มากกว่ายุคใดๆในอดีต การที่มนุษย์จะสามารถรับมือกับปัญหาหรือความท้าทายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องเกิดจากการร่วมมือกันที่ดีกว่าเดิมของคนทั้งโลก การค้นพบและพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ประชากรนับพันล้านคนในโลกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและรุ่งเรือง

“ความพยายามระดับโลกในการต่อต้านโรคติดต่อ” โดยศาสตราจารย์บรู๊ซ เอ บิวท์เล่อร์

ศาสตราจารย์บรู๊ซ เอ บิวท์เล่อร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์ จะบรรยายที่โรงเรียนนานาชาตินิสท์ในวันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของศาสตราจารย์บิวท์เล่อร์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พันธุศาสตร์ป้องกันภูมิต้านทาน แห่งศูนย์การแพทย์เซาท์เวสเทิร์น มหาวิทยาลัยเท็กซัส ได้นำมาสู่การรักษาและมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันการติดเชื้อและโรคมะเร็ง งานที่ทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลได้เจาะลึกถึงวิธีการที่ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์สามารถจะได้รับการกระตุ้นเพื่อตอบสนองเมื่อมีการติดเชื้อ

“ความพยายามระดับโลกในการต่อต้านโรคติดเชื้อ” จะเท้าความถึงผลกระทบของจุลินทรีย์ที่มีต่อชีวิตและวิวัฒนาการของมนุษย์ จากหลักฐานที่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ การติดเชื้อจุลินทรีย์เป็นสาเหตุการตายมากกว่าสาเหตุอื่นๆทั้งหมด และได้ส่งผลต่อการพัฒนาของมนุษย์ รวมถึงการพัฒนาของระบบภูมิคุ้มกันของเรา การพัฒนาของความรู้ทางการแพทย์และมาตรการต่างๆ ทางด้านสุขภาพ ทำให้ชีวิตของมนุษย์เราได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ศาสตราจารย์บิวท์เล่อร์จะคุยในรายละเอียดของแนวโน้มทางแพทย์ศาสตร์ในอนาคต และวิธีที่เราจะสามารถต่อสู้กับโรคติดเชื้อต่างๆ

“ความเที่ยงธรรมและความปลอดภัยของโลก” โดยดร.โมฮัมเหม็ด เอล บาราเดย์

เจ้าของรางวัลโนเบลท่านสุดท้าย ดร.โมฮัมเหม็ด เอล บาราเดย์ จะบรรยายที่โรงเรียนนิสท์ในวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ดร.เอล บาราเดย์เป็นอธิบดีขององค์การพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540 จนถึงปีพ.ศ. 2552 และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี พ.ศ. 2548 สำหรับการทำงานป้องกันการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร และการควบคุมให้การนำพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไร้ความรุนแรง ได้ถูกใช้ในทางที่ปลอดภัยที่สุด นอกเหนือไปจากงานที่ทำกับองค์การพลังงานปรมาณูสากลแล้ว ดร.เอล บาราเดย์ยังมีชีวิตการทำงานที่โดดเด่นในฐานะนักการทูต ข้าราชการองค์กรระหว่างประเทศ และนักวิชาการ

ประสบการณ์ที่ผ่านมาของดร.เอล บาราเดย์ในแวดวงเหล่านี้ มีบทบาทอย่างมากต่อการทำงานของท่านที่มูลนิธิสันติภาพสากล (International Peace Foundation) ดร.เอล บาราเดย์ เป็นผู้สนับสนุนการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ การยอมรับความแตกต่างทางชาติพันธ์ มนุษยธรรม และอิสรภาพ หลักการเหล่านี้ส่งผลให้มนุษย์ทุกคนมีสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่เหมือนกัน และต่างก็มีสิทธิที่จะดำเนินชีวิตตามความสุขส่วนบุคคล ในโอกาสนี้ ดร.เอล บาราเดย์จะบรรยายถึงวิธีที่พลังงานนิวเคลียร์จะสามารถถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ต่อชีวิตของเราได้